วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ชีวิตและผลงาน พุทธทาส ภิกขุ

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กลอนพุทธทาส

วาทธรรมคำสอน "กลอนพุทธทาส"


พระนักปราชญ์ที่ชาวพุทธสุดเลื่อมใส


ทุกหัวข้อล้ำค่ามากคัดจากใจ


สร้างโลกให้สันติสุขแก่ทุกคน


สอนให้รู้ "พุทธพจน์" กฎยิ่งใหญ่


ทั้งเทศไทยซึ้งบาปกรรมติดตามผล


สอนให้รู้ "พุทธธรรม"นำจิตตน


เพื่อหลุดพ้นมารกิเลสเหตุมัวเมา


สอนให้รู้ "พุทธจริยะ"ละความชั่ว


เพ่งรอบตัวด้วยสติมิขลาดเขลา


สอนให้รู้ "พุทธศิลป์"แนบถิ่นเนา


ประดุจ เสาหินแห่งกาล"


ตราบวันนี้เมื่อประพฤติยึดถือ


คือประโยชน์เลิกคิดโกรธโลภหลง


ส่งราศีไร้ "ตัวกูของกู"ต่างรู้ดี


เบาสบายทุกนาทีเบาชีวิต


เพียงสำนึกลึกลงไปในหน้าที่


รวมพลเป็นภาคีแก้วิกฤติ


แผ่น้ำใจให้กันฉันญาติมิตร


สารทิศย่อมรู้อยู่กับตัว


แม้ยุคนี้มีปัญหาปัญญาเกิด


เพราะ "พุทธทาส"ชี้ทางเลิศประเสริฐทั่ว


ที่ยังคงปัญหาไว้ให้พันพัว


ก็เพราะกลัว "เงาตัวเองเร่งหาเงา"




อ.พุทธทาส ภิกขุ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ปุถุชน

หนาด้วยความ เห็นแก่ตัว มัวยึดมั่น
ว่าตัวฉัน ของฉัน มัวมั่นหมาย
เป็นตัวตน นอกใน ใจหรือกาย
ตั้งแต่เกิด จนตาย ไว้เป็นตัว
ด้วยอำนาจ อวิชชา ดังตาบอด
เกิดขึ้นสอด ไปทุกกาล สถานทั่ว
ต้องหลงรัก หลงโศก เกิดโรคกลัว
เป็นไฟคั่ว ใจกาย ให้ร้อนรน
อย่างนี้แล เวียนว่าย ในวัฏฏทุกข์
ไม่เยือกเย็น เป็นสุข สักเส้นขน
เห็นตัวทุกข์ ว่าเป็น ตนของตน
นี่แหละหนา ปุถุชน คนหนาจริงฯ

อ.พูทธทาส ภิกขุ

เป็นหลวงตา


เป็นหลวงตา สนุกกว่า เป็นเจ้าคุณ
เหมือนความว่าง ดีกว่าบุญ เป็นไหนๆ
ไม่ปรุงแต่ง สังขาร ประการใด
ล้วนเป็นไป สงบเย็น เป็นนิพพาน
บุญเป็นเรื่อง สวยงาม กิน-กาม-เกียรติ
แต่ไม่มี ใครเกลียด ทุกสถาน
ส่วนความว่าง ว่างเสียจน คนกลัวลาน
เขาเกลียดกัน ขันจ้าน เป็นหลวงตา ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

เป็นพระเมือง

เป็นพระเมือง เรื่องมาก ด้วยอยากเด่น
ต้องเขม่น กันไป จนใหลหลง
ต้องแบกทรัพย์ แบกศักดิ์ แบกพรรคพงศ์
เพื่อการเมือง เรื่องณรงค์ ด้วยจงใจ
งานใต้ดิน ใต้น้ำ ก็ทำเป็น
ถึงฆ่าเข่น กันพินาศ ไม่หวาดไหว
คอยแข่งกัน มิให้ใคร ดีกว่าใคร
ไม่เย็นใจ เย็นตัว มัวขึ้นลง ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

เป็นพระป่า

เป็นพระป่า สงบกว่า เป็นพระเมือง
ไม่มีเรื่อง แบกพรรค แบกศักดิ์ศรี
ไม่ต้องสวม หน้ากาก ผู้มากดี
มันเกิดฟรี ขึ้นมาเอง เก่งในตัวฯ
จะนั่งนอน ยืนเดิน ไม่เขินขัด
ไม่มีใคร คอยวัด ว่าดีชั่ว
ไม่มีเรื่อง ยั่วเย้า ให้เมามัว
จึงเย็นตัว เย็นใจ ไม่ขึ้นลง ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกพัฒนา

โลกพัฒนา ที่เรียกว่า Developed
ดูจะเพื่อ จุดจบ เสียมากกว่า
หรืออย่างน้อย ให้จบเร็ว กว่าธรรมดา
นึกแล้วพา อนาถใจ ใคร่ท้วงติง
เร่งพัฒนา เหมือนเร่งฆ่า ให้ตัวตาย
ทรัพย์ธรรมชาติ วอดวาย คล้ายกับวิ่ง
ผลได้มา เฟ้อกว่า ความเป็นจริง
จนยุ่งขิง กันไปหมด อดเยือกเย็น
โลกพัฒนา วัตถุเหลือ เหนือคุณธรรม
ไม่อิ่มหนำ ไม่คิดเปลื้อง พวกเรื่องเหม็น
เรื่องอวกาศ เรื่องอาละวาด เกินจำเป็น
ยิ่งโลดเต้น ยิ่งสุมโศก โลกพัฒนา ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกนี้พัฒนา

โลกฮึดฮัด พัฒนา บูชาโป๊
เพราะเผลอโง่ ทีละนิด คิดไม่เห็น
ไม่มีใคร ตำหนิใคร เพราะใจเป็น
ในเชิงเช่น เดียวกัน ไม่ทันรู้
รัฐบาลไหน ในโลก สับโขกมัน
ดูจะชอบ เหมือนกัน ทำไก๋อยู่
พวกนักบวช แอบหา ภาพมาดู
คุณครูรู้ พรางศิลปโป๊ โย้ได้ไกล
ความก้าวหน้า ทางเนื้อหนัง อย่างนี้เอง
ครั้นพัฒนา จบเพลง ไม่ไปไหน
บูชาโป๊ ถึงทูนหัว มั่วกันไปโ
ลกยุคใหม่ ต้องไม่โง่ หยุดโป๊ที ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกนี้คืออะไรแน่?

โลกเรานี้ ที่แท้ คือโรงละคร
ไม่ต้องสอน แสดงถูก ทุกวิถี
ออกโรงกัน จริงจัง ทั้งตาปี
ตามท่วงที อวิชชา จะลากคอ
โลกนี้คือ กรงไก่ เขาใส่ไว้
จะนำไป แล่เนื้อ ไม่เหลือหลอ
จิกกันเอง ในกรง ได้ลงคอ
เฝ้าตั้งข้อ รบกัน ฉันนึกกลัว เอยฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกกลียุค

โลกทุกวัน อยู่ในขั้น กลียุค
ที่เบิกบุก เร็วรุด สู่จุดสลาย
จนสิ้นสุด มนุษยธรรม ด่ำอบาย
เพราะเห็นกง -จักรร้าย เป็นดอกบัว
กิเลสไส -หัวส่ง ลงปลักกิเลส
มีความแกว่น แสนพิเศษ มาสุมหัว
สามารถดูด ดึงกันไป ใจมืดมัว
เห็นตนตัว ที่จมกาม ว่าความเจริญ
มองไม่เห็น ศีลธรรม ว่าจำเป็น
สำหรับอยู่ สุขเย็น ควรสรรเสริญ
เกียรติ กาม กิน บิ่นบ้า ยิ่งกว่าเกิน
แล้วหลงเพลิน ความบ้า ว่าศีลธรรม ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกรอดเพราะกตัญญู

อันบุคคล กตัญญู รู้คุณโลก
อุปโภค บริโภค มิให้หลาย
ข้าวหรือเกลือ ผักหรือหญ้า ปลาหรือไม้ ฯลฯ
รู้จักใช้ อย่าทำลาย ให้หายไป;
อนึ่งคน ต่อคน ทุกคนนี้
ล้วนแต่มี คุณต่อกัน นั้นเป็นไฉน
มองให้ดี ดูให้เห็น เช่นนั้นไซร้
โลกรอดได้ เพราะกตัญญู รู้คุณกัน;
ประเทศชาติ ศาสนา มหากษัตริย์
รวมเป็นอัต-ตภาพไทย ใหญ่มหันต์
รอดมาได้ เพราะรักใคร่ อย่างผูกพันธ์
เพราะกตัญ- ญูมี ที่ใจเอย ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

เมื่อกิเลสยึดครองโลก

เมื่อกิเลส ไหลนอง ยึดครองโลก
มันสุดแสน โสโครก ที่โกรกไหล
เมื่อกระแส ไฟตัณหา ไหม้พาไป
ทิ้งซากไว้ ระเกะระกะ อนิจจัง
กลับยกย่อง ว่านั้นสิ่ง ศิวิไลซ์
ยั่วความใคร่ เพิ่มเหยื่อ แก่เนื้อหนัง
เป็นเครื่องล่อ กามา บ้าติดตัง
ทั่วโลกคลั่ง ก็ยิ่งคล้าย อบายภพ
ทั้งแก่เฒ่า สาวหนุ่ม ล้วนจนกาม
เกลียดศีลธรรม เห็นเป็นหนาม ระคายขบ
อาชญากรรม ลุกลาม สงครามครบ
ร้อนตลบ โลกกิเลส สังเวชจริง ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ทรงเปิดโลก

ครั้นตรัสรู้ ลุถึง ความสำเร็จ
ทุกทุกลัทธิ ขามเข็ด กษัตริย์สนอง
โปรดทวยเทพ ในเทวโลก เสร็จดั่งปอง
เสด็จล่อง ลงมา ประชาชน
จึ่งเทวดา มานุษย์ และอบาย
เห็นธรรมถึง กันได้ ทุกแห่งหน
ทั้งเหนือ-ใต้ ตก-ออก หรือล่าง-บน
กำแพงคน คือวรรณะ พังทลาย
จนโลกุตตร์ โลกิยา จ่อหน้ากัน
เหลือแต่ชั้น พวกเรา ที่เขลาหลาย
จงเปิดโง่ ออกรับ ระงับอาย
โลกิยะ จะได้กลาย เป็นโลกุตตรา ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกเปรียบมหาสมุทรและกรงไก่

โลกนี้เปรียบ ปานว่า มหาสมุทร
ปลามนุษย์ ผุดว่าย อยู่ไหวไหว
เพราะตัณหา หมื่นวิถี เข้าจี้ใจ
วิ่งขวักไขว่ เหยื่อดี มีไม่พอ!
โลกนี้คือ กรงไก่ เขาใส่ไว้
จะนำไป แล่เนื้อ ไม่เหลือหลอ
จิกกันเอง ในกรง ได้ลงคอ
เฝ้าตั้งข้อ รบกัน ฉันนึกกลัว!

อ.พุทธทาส ภิกขุ

เป็นพระเถื่อน

เป็นพระเถื่อน เหมือนนก วิหคหงษ์
ย่อมบินตรง ไปได้ ทิศไหนไหน
เป็นอิสระ อยากจะผละ สังคมใด
ก็ผละได้ ทันใจ ไม่อัดแอ ฯ
เอ็นดูฉัน ขอให้ฉัน เป็นพระเถื่อน
มีหมู่ไม้ เป็นเพื่อน ทุกกระแส
มดแมลง แสดงธรรม อยู่จำเจ
ไพเราะแท้ ไม่มีเบื่อ เหลือกล่าวเอย

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ความรักของอวิชชา

มีชายหนึ่ง ลิงหนึ่ง อยู่ด้วยกัน
คนก็รัก ลิงนั้น เป็นหนักหนา
ลิงก็รัก คนจัด เต็มอัตรา
ทั้งสองรา รักกัน นั้นเกินดู
มาวันหนึ่ง คนนั้น นอนหลับไป
แมลงวัน มาไต่ ที่กกหู
ลิงคิดว่า ไอ้นี่ยวน กวนเพื่อนกู
จะต้องบู๊ ให้มันตาย อ้ายอัปรีย์
ฉวยดุ้นไม้ มาเงื้อ ขึ้นสองมือ
ฟาดลงไป เต็มตื้อ แมลงวันหนี
ฝ่ายเพื่อนรัก ดิ้นชัก ไปหลายที
ดูเถิดนี่ ความรัก ของอวิชชา ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ปรมัตถธรรมกลับมา

ปรมัตถธรรมกลับมา โลกาสว่างไสว
ปรมัตถธรรมหมดไป จิตใจมืดมนท์
มัวเป็นกันแต่คน มนุษย์ก็ไม่มี
ศีลธรรมดีคนก็กลาย เป็นมนุษย์กันหมด
ศีลธรรมถอยถด ต้องเพิ่มปรมัตถธรรม
คนทำบาปกรรม เพราะโลกขาดสัมมาทิฏฐิ
คนมีสติ ย่อมดำริโดยแนวแห่งปรมัต

อ.พุทธทาส ภิกขุ

กัลยาณชน

กัลยาณชน นั้นละได้ ในส่วนผิด
มายึดติด มากมาย ฝ่ายกุศล
หมายมั่นเห็น ว่าเป็น ตนของตน
เท่ากันกับ ปุถุชน "ยึดตัวกู"
แม้ความยึด จะเท่ากัน แต่มันแปลก
มันเกิดแยก ทางกัน ดูขันอยู่
ข้างหนึ่งยึด ความทราม กามเชิดชู
ข้างหนึ่งยึด ความหรู กุศลงาม
ปุถุชน เคยหนาทึบ ด้วยฝ้าตา
ครั้นนานมา เริ่มเห็น รัตนะสาม
คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ตาม
ความเป็นจริง ใจเกิดงาม นามกัลยาณ์ ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

อัตตา หิ อัตตโน นาโถ

มิใยใคร จะพึ่ง ซึ่งพระเจ้า
แต่พวกเรา ชาวพุทธ- ศาสนา
ผู้เชื่อฟัง โอวาท พระศาสดา
พึ่งธรรมา คือพึ่ง ซึ่งตัวเอง
ประกอบกรรม นำมา ซึ่งโภคผล
ตั้งแต่ต้น จนปลาย ได้เหมาะเหม็ง
ทั้งทางโลก ทางธรรม ก็ยำเกรง
ถือเลบง สร้างตัว อยู่ทั่วกัน
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ แปล
ว่า "ตัวพึ่ง ตัว" แน่, ถ้าบิดผัน
เป็นอื่นไป วนเวียน พาเหียรครัน
พึ่งเขานั้น ไม่ "หนึ่ง" เหมือนพึ่งตัว ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

พระรัตนตรัย

พระพุทธะ พระธรรมะ และพระสงฆ์
ล้วนต่างองค์ เป็นสามพระ หรือไฉน
หรือเป็นองค์ เดียวกัน ที่ชั้นใน
ดูเท่าไร ก็ไม่เห็น เป็นสามองค์
นั่นถูกแล้ว ถ้าดูกัน แต่ชั้นนอก
คือดูออก มีพุทธะ จอมพระสงฆ์
ได้ตรัสรู้ ซึ่งพระธรรม ทรงจำนง
สอนพระสงฆ์ ทั้งหลาย ให้รู้ตาม
แต่เมื่อดู ชั้นใน กลับได้พบ
ว่าธรรมหนึ่ง ซึ่งอยู่ครบ ในพระสาม
ทั้งพุทธ สงฆ์ หรือว่าองค์ พระธรรมงาม
ล้วนมีความ สะอาด สว่าง สงบ บรรจบกัน ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ตามรอยพระพุทธองค์

เมื่อทิ้งเกียรติ เกลียดศักดิ์ รักสงบ
ก็จะพบ นิพพานได้ ดั่งไขขาน
ตัวท่านแหละ รู้ชัด อุบัติการณ์
ว่าตัวท่าน เองถึง ซึ่งวิมุตติ
จงดำเนิน ตามรอย พระพุทธองค์
บากบั่นมุ่ง รางวัล อันเอกอุตม์
แน่ดั่งอา- ทิตย์อุทัย ไม่มีทรุด
ท่านจะยุด วิมุตติได้ ไม่เปล่าเอย ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกนี้คือทางผ่านและบทเรียน

โลกนี้เหมือน ทางผ่าน ที่รกเลี้ยว
เพื่อทนสู้ อดเปรี้ยว ไปกินหวาน
พ้นโลกนี้ มียิ่ง กว่าอ้อยตาล
เมื่อพบพาน "อมฤ-ตโลกา!"
โลกนี้เพียง บทเรียน ให้เพียรอ่าน
หมั่นวิจารณ์ ตื้นลึก รีบศึกษา
ให้รอบรู้ แจ่มจน พ้นมายา
แล้วโลกมา เป็นบ่าว เราร่ำไป!

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกคือเครื่องลองและโรงละคร

โลกนี้คือ เครื่องลอง ของมารร้าย
ไว้สอบไล่ ว่าใคร ยังหลงใหล
ว่าใครบ้า ใครเขลา เฝ้าจมใน
หล่มโลกใหญ่ ติดตัง ทั้งชั่วดี!
โลกนี้ ที่แท้คือ โรงละคร
ไม่ต้องสอน แสดงถูก ทุกวิถี
ออกโรงกัน จริงจัง ทั้งตาปี
ตามท่วงที อวิชชา ลากพาไป!

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกเปรียบศาลาให้อาศัย

โลกนี้เปรียบ ศาลา ให้อาศัย
ประเดี๋ยวใจ ผ่อนพัก แล้วจักผัน
ทางที่ดี เมื่อพราก ไปจากมัน
ควรสร้างสรร ส่งเสริม เพิ่มคะแนน
เมื่อเราได้ เกิดมา ในอาโลก
ได้พ้นโศก พ้นภัย สบายแสน
จึงควรสร้าง สิ่งชอบ ไว้ตอบแทน
ให้เป็นแดน ดื่มสุข ขึ้นทุกกาล
คุณความดี ของท่าน กาลก่อนก่อน
ที่ท่านสอน ไว้ประจักษ์ เป็นหลักฐาน
เราเกิดมา อาศัย ได้สำราญควร
หรือผ่าน พ้นไป ไม่คำนึง ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โพธิสัตว์

โพธิสัตว์ คือสัตว์มุ่ง พัฒนา
ให้โพธิ แผ่แก่กล้า เต็มความหมาย
ดูให้ดี มีอยู่จริง ทั้งหญิงชาย
ดูงมงาย จะไม่มี ที่ไหนเลย
ถ้าทุกคน ดิ้นรน เพื่อโพธิ
มันค่อยผลิ ออกไป ไม่หยุดเฉย
ถ้ามัวแต่ ร้องว่าแย่ ยอมแพ้เว้ย
ในโลกเลย ไม่มี โพธิชน
อย่ายอมแพ้ มุ่งแต่ ปลูกโพธิ
ให้เต็มสติ กำลัง หวังเอาผล
ไม่เสียที ที่ได้เกิด มาเป็นคน
ได้ผ่านพ้น อวิชชา เพราะกล้าทำ ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกนี้คืออะไรแน่?

โลกนี้คือ ถ้ำมืด ไม่เห็นแสง
ไม่มีความ แจ่มแจ้ง ไม่เฉลียว
คิด-พูด-ทำ โมหา ไปท่าเดียว
ลองคิดเที่ยว โลกสว่าง ข้างหน้ากัน!
โลกนี้คือ ร่มไม้ ได้อาศัย
บัดเดี๋ยวใจ พักร้อน แล้วผ่อนผัน
ออกไปสู่ โลกอื่น อีกหมื่นพัน
ไยยึดมั่น หมายมี โลกนี้นาน!

อ.พุทธทาส ภกขุ

มองฟ้าปะดิน

แรกมองฟ้า ก็เห็นว่าง อย่างเขาว่า
ไม่เห็นพวก เทวดา คลาสวรรค์
ยิ่งมองไป ยิ่งว่างมา สารพัน
จิตใจมั่น ยิ่งเห็นว่าง อย่างสุดใจ
กลับได้เห็น สาระหนึ่ง ซึ่งความว่าง
มอบให้อย่าง แก่นสาร ปานดินใหม่
เป็นแผ่นดิน เย็นและหยุด กว่าจุดใด
ทรงคุณใหญ่ เรียก "อมตะ มหานคร"
เป็นที่ตั้ง เย็นสนิท แห่งจิตว่าง
กิเลสร้าง ทุกข์หาย ไร้โศกศร
เป็นแดนดิน ที่คงมั่น นิรันดร
นี่แลตอน ที่มองฟ้า แล้วปะดิน ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ศีลธรรมโลกย่น-ถ่อย-ยับ

ศีลธรรม! ศีลธรรม! ศีลธรรม!
ต้องตกต่ำ ลงทุกวัน ถ้าสรรหา
คงไม่พอ ขอมาทำ น้ำหยอดตา
เพราะบูชา กันแต่เงิน เกินพอแรง
ศีลธรรม! ศีลธรรม! ศีลธรรม!
ต้องตกต่ำ ไปเสียทั่ว ทุกหัวระแหง
เขารังเกียจ เกลียดชัง ดังผีกระแชง
อยากให้มัน แห้งแล้ง จากโลกนี้
ศีลธรรม! ศีลธรรม! ศีลธรรม!
ถูกเหยียบย่ำ โดยฝูงคน จนป่นปี้
โลกของคน ย่น ถ่อย ยับ เกินอัปรีย์
ที่คงที่ คือโลกสัตว์ ดูอัศจรรย์ ฯ

อ.พุุทธทาส ภิกขุ

ชั่วในดี

ส่วนที่ชั่ว มีกลั้ว อยู่ในดี
คือดีมี เลศยั่ว ให้มัวหลง
ไม่ค่อยสอน ไม่ค่อยเตือน อาจเฟือนลง
สอนไม่ลึก สอนไม่ตรง จึ่งหลงดี
ยั่วให้หลง ในดี-ดี เป็นผีบ้า
ไม่นานหนอ ต่อมา ก็สิ้นศรี
ดีมันสอน ไม่ค่อยจะ ถูกวิธี
ยึดมั่น "ดี" แล้วยิ่งยาก จะจากวาง
ยิ่งมีดี ก็ยิ่งมี คนรบกวน
หลายกระบวน หลายวิธี ไม่มีสร่าง
พวกริษยา ก็หาช่อง จ้องจิตล้าง
มองดูบ้าง ชั่วในดี มีอยู่เน้อ ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ดีในชั่ว

ส่วนที่ดี มีซ่อน อยู่ในชั่ว
ซึ่งสอนให้ เต็มตัว ไม่ยั้งท่า
มันสอนอย่าง เจ็บช้ำ เป็นธรรมดา
แต่มันสอน ลึกกว่า เมื่อได้ดี
ชั่วมันสอน มากกว่า หรือจริงกว่า
มันสอนได้ ดีกว่า ความสุขศรี
สอนดีกว่า ให้กลับตน จนถูกวิธี
เกลียดกลัวชั่ว กว่าก่อนนี้ ดีอย่างจริง
ให้ศรัทธา วิ่งหา พระศาสนา
เรียนสิกขา ภาวนา เป็นอย่างยิ่ง
สัตว์นรก หมกอยู่ ยังรู้ติง
ตัวของตัว เพราะชั่วสิง สอนรุนแรง ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

สนทนากับพระเจ้า

บางเวลา สนทนา กับพระเจ้า
ท่านคอยเฝ้า ดูโลก อันโยกไหว
ด้วยขันติ เมตตา ปรานีไป
เท่าไรเท่าไร สัตว์โลก ยังโยกโคลง
เพราะเมาจัด ด้วยวัต- ถุนิยม
เกิดระทม ทุกข์ร้าย กว่าตายโหง
ตายทั้งเป็น เหมือนว่าเล่น ทุกชั่วโมง
ยิ่งกว่าตาย ใส่โลง ซึ่งครั้งเดียว
ทำอย่างไร ก็ยังไม่ มองเห็นทาง
จะเลิกร้าง หมดสิ่ง น่าหวาดเสียว
เมื่อศีลธรรม กลับผัน มาทันเทียว
โลกจะเกี่ยว ก่อสุข ยุคศรีอาริย์ ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

การพึ่งผู้อื่น

อันพึ่งท่าน พึ่งได้ แต่บางสิ่ง
เช่นพึ่งพิง ผ่านเกล้า เจ้าอยู่หัว
หรือพึ่งแรง คนใช้ จนควายวัว
ใช่จะพ้น พึ่งตัว ไปเมื่อไร
ต้องทำดี จึงเกิดมี ที่ให้พึ่ง
ไม่มีดี นิดหนึ่ง พึ่งเขาไฉน?
ทำดีไป พึ่งตัว ของตัวไป
แล้วจะได้ ที่พึ่ง ซึ่งถาวร
พึ่งผู้อื่น พึ่งได้ แต่ภายนอก
ท่านเพียงแต่ กล่าวบอก หรือพร่ำสอน
ต้องทำจริง เพียรจริง ทุกสิ่งตอน
นี้, จึงถอน ตัวได้ ไม่ตกจม
จะตกจน หรือว่าจะ ตกนรก
ตนต้องยก ตนเอง ให้เหมาะสม
ตนไม่ยก, .ให้เขายก นั้นพกลม:
จะตกหล่ม ตายเปล่า ไม่เข้าการ ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

อยู่กับธรรม

เมื่อรบสู้ กับศัตรู สู้ด้วยธรรม
จะปลุกปล้ำ กันเท่าใด ไม่เสียหาย
ถ้าสู้กัน อย่างนี้ ไม่มีตาย
ในสุดท้าย จะปรองดอง ต้องใจกัน
เมื่อป้องกัน ศัตรู รู้ใช้ธรรม
เป็นกำแพง เพชรล้ำ เลิศมหันต์
ป้องกันได้ สารพัด น่าอัศจรรย์
ป้อมค่ายมั่น กว่าสิ่งใด ในโลกคน
เมื่อหลบซ่อน จากศัตรู อยู่กับธรรม
ไม่ระกำ ทุกข์เห็น สักเส้นขน
ช่วยปลุกปลอบ ชื่นชอบ ฉ่ำกมล
ขอทุกคน จงมีธรรม ประจำกาย ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

จะดูโลกแง่ไหนดี?

จงดูเถิด โลกนี้ มีหลายแง่
ดูให้แน่ น่าสรวล เป็นชวนหัว
หรือชวนเศร้า โศกสลด ถึงหดตัว
ดูให้ทั่ว ถ้วนความ ตามแสดง
จะดูมัน แง่ไหน ตามใจเถิด
แต่ให้เกิด ปัญญา มาเป็นแสง
ส่องทางเดิน ชีวา ราคาแพง
อย่าให้แพลง พลาดพลั้ง ระวังเอย ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ถ้าศีลธรรมไม่กลับมา

ถ้าศีลธรรม ไม่กลับมา โลกาวินาศ
มนุษยชาติ จะเลวร้าย กว่าเดรัจฉาน
มัวหลงเรื่อง กิน กาม เกียรติ เกลียดนิพพาน
ล้วนดื้อด้าน ไม่เหนี่ยวรั้ง บังคับใจ
อาชญากรรม เกิดกระหน่ำ ลงในโลก
มีเลือดโชก แดงฉาน แล้วซ่านไหล
เพราะบ้ากิน บ้ากาม ทรามเกินไป
บ้าเกียรติก็ พอไม่ได้ ให้เมาตน
อยากครองเมือง ครองโลก โยกกันใหญ่
ไม่มีใคร เมตตาใคร ให้สับสน
ขอศีลธรรม ได้กลับมา พาหมู่คน
ให้ผ่านพ้น วิกฤตการณ์ ทันเวลา ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ศีลธรรมกลับมาเถิด!

กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
กำลังเกิด ภัยร้าย อันใหญ่หลวง
แก่สัตว์โลก ทั่วถิ่น จักรวาลปวง
น่าเป็นห่วง ความพินาศ ฉกาจเกิน
กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
ในโลกเกิด กลียุค อย่างฉุกเฉิน
หลงวัตถุ บ้าคลั่ง เกินบังเอิญ
มัวเพลิดเพลิน สิ่งกาลี มีกำลัง
กลับมาเถิด ศีลธรรม กลับมาเถิด!
ความเลวร้าย ลามเตลิด จวนหมดหวัง
รีบกลับมา ทันเวลา พาพลัง
มายับยั้ง โลกไว้ ให้ทันกาล ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ทำดี ดีแล้วเป็นพร

ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้องอ้อนวอน
ขอพร กะใคร ให้กวน
พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือนลมหวน
อวลไป อวลมา อย่าหลง
พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืนยืนยง
ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ทำ
อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ- เพ็ญบุญ กุศลนำ
ให้ถูก ให้พอ ต่อตน
ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดีมีจน
เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง
ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเกรง บาปชั่ว กลัวเกรง
ทำแต่ กรรมดี ทวีพร ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ความเป็นพระ

ความเป็นพระ คือจิตพราก จากกิเลส
รู้สังเกต ไม่ประมาท ฉลาดเฉลียว
สำรวมระวัง รักษาใจ ไปท่าเดียว
เพื่อหลีกเลี้ยว ภัยทั้งสาม ไม่ตามตอม
จากเรื่องกิน เรื่องกาม และเรื่องเกียรติ
เห็นเสนียด ในร้อนเย็น ทั้งเหม็นหอม
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ออมชอม
กิเลสล้อม ลวงเท่าไร ไม่หลงลม
จิตสะอาด ใจสว่าง มโนสงบ
ทั้งครันครบ กายวจี ที่เหมาะสม
ความเป็นพระ จึงชนะ เหนืออารมณ์
โลกนิยม กระหยิ่มใจ จึงไหว้แล ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุุ

อรหันต์

อรหันต์ นั้นคือถูก ถึงที่สุด
ทางวิมุตติ จากทุกข์ ทุกสาขา
ถึงความเต็ม แห่งมนุษย์ สุดพรรณนา
ควรแก่การ วันทา ยิ่งกว่าใคร,
ท่านหักแล้ว ซึ่งวง แห่งวัฏฏ์วน
ไม่มีตน เวียนว่าย ในภพไหน
เหนือบุญ-บาป ชั่ว-ดี มีแต่ใจ
ที่ว่างไป จากตัวกู และของกู
จิตหลุดจาก ทุกอย่าง ที่เคยติด
ไม่มีพิษ มีภัย อะไรอยู่
เหนือความเกิด ความตาย ใคร่ครวญดู
จะได้รู้ พระนิพพาน เหมือนท่านแล ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

โลกนี้น่าขำ

โลกนี้มี แต่คนบ้า ไม่น่าอยู่
จงมองดู ให้ดีดี มีข้อขำ
คือตัวกู ที่เกิดอยู่ เป็นประจำ
จงกระทำ อย่าให้เกิด ประเสริฐแล
อย่าปล่อยให้ อารมณ์ใด เข้ามาปรุง
เป็นจิตยุ่ง วุ่นวาย หลายกระแส
ว่างตัวกู จิตก็อยู่ เหนือโลกแท้
ว่างกูแน่ ก็หยุดบ้า น่าขำเอย ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

เมื่อมองดินเห็นฟ้า

เมื่อมองดิน เห็นฟ้า นิจจาเอ๋ย
มองเห็นฟ้า ดินใหญ่ กระไรเลย
ฉันจะเอ่ย ฟังดูหนา บ้าหรือดี?
คือมองโลก เห็นว่าง จากอัตตา
ว่างจากอัต- ตนียา อย่างเต็มที่
มันว่างจริง ยิ่งกว่าฟ้า เพราะว่ามี
สิ่งหนึ่งที่ เรียกมหา- สุญญตา
ครั้นมองดู โลกว่าง อย่างแท้จริง
ก็เห็นสิ่ง ที่เรียก ว่ามหา-
อมฤต นคร ซ้อนอยู่นา
นี้เรียกว่า มองฟ้า แล้วปะดิน
คิดดูเถิด บ้าหรือดี มีให้ดู
ถ้าไม่เห็น อย่าเพ่อจู่ มาติฉิน
ถ้าจะมั่ว อยู่ที่เห็น ดินเป็นดิน
ก็ดูดกิน มันไป เป็นไส้เดือน ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

มองถูก ทุกข์คลาย

มองอะไร ให้เห็น เป็นครูสอน
มองไม้ขอน หรือมองคน ถ้าค้นหา
มีสิ่งสอน เสมอกัน มีปัญญา
จะพบว่า ล้วนมีพิษ อนิจจัง
จะมองทุกข์ หรือมองสุข มองให้ดี
ว่าจะเป็น อย่างที่ เรานึกหวัง
หรือเป็นไป ตามปัจจัย ให้ระวัง
อย่าคลุ้มคลั่ง จะมองเห็น เป็นธรรมดา
มองโดยนัย ให้มันสอน จะถอนโศก
มองเยกโยก มันไม่สอน นอนเป็นบ้า
มองไม่เป็น จะโทษใคร ที่ไหนมา
มองถูกท่า ทุกข์ก็คลาย สลายเอง ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

มอง-มอง-มอง

มองอะไร มองให้เห็น เป็นครูสอน
มองไม้ขอน หรือมองคน มองค้นหา
มองเห็นความ เสมอกัน มีปัญญา
มองเห็นว่า ล้วนมีพิษ: อนิจจัง
มองทุกข์สุข ก็จงจ้อง มองให้ดี
มองว่าเป็น อย่างที่ คนเราหวัง
มองว่าเป็น ตามปัจจัย ให้ระวัง
มองจริงจัง ก็จักเห็น เป็นธรรมดา
มองโดยนัย ที่มันสอน จะถอนโศก
มองเยกโยก มันไม่สอน ร้อนเป็นบ้า
มองไม่เป็น โทษผีสาง นางไม้มา
มองถูกท่า ไม่คว้าทุกข์: มองถูกจริง!

อ.พุทธทาส ภิกขุ

ตาบอด-ตาดี

หมู่นกจ้อง มองเท่าไร ไม่เห็นฟ้า
ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป
หนอนก็ไม่ มองเห็นคูก ที่ดูดกิน;
คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจสิน
ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอย ฯ

อ.พุทธทาส ภิกขุ

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กรรมดี ดีกว่ามงคล

กรรมดี ดีกว่ามงคล สืบสร้าง กุศล
ดีกว่า นั่งเคล้า ของขลัง
พระเครื่อง ตะกรุด อุทกัง ปลุกเสก แสนฉมัง
คาดมั่ง แขวนมั่ง รังรุง
ขี้ขลาด หวาดกลัว หัวยุ่ง กิเลส เต็มพุง
มงคล อะไร ได้คุ้ม
อันธพาล ซื้อหา มาคุม เป็นเรื่อง อุทลุม
นอนตาย ก่ายเครื่อง รางกอง
ธรรมะ ต่างหาก เป็นของ เป็นเครื่อง คุ้มครอง
เพราะว่า เป็นพระ องค์จริง
มีธรรม ฤามี ใครยิง ไร้ธรรม ผีสิง
ไม่ยิง ก็ตาย เกินตาย
เหตุนั้น เราท่าน หญิงชาย เร่งขวน เร่งขวาย
หาธรรม มาเป็น มงคล
กระทั่ง บรรลุ มรรคผล หมดตัว หมดตน
พ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย
บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ใจกาย อุปัทวะ ทั้งหลาย
ไม่พ้อง ไม่พาน สถานใด
เหนือโลก เหนือกรรม อำไพ กิเลสา- สวะไหน
ไม่อาจ ย่ำยี บีฑา ฯ
อ.พุทธทาส ภิกขุ

มองแต่แง่ดีเถิด

เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา
จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู
ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง ฯ
อ.พุทธทาส ภิกขุ

เป็นมนุษย์ หรือ เป็นคน

เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง
เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน
ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูก ทุกเวลา
เปรมปรีดา คืนวัน ศุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัว และร้อนเร่า
ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิด จิตประวิง
แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิด ถ้าใคร ไม่อยากตก
จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย
ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือน เอยฯ
อ.พุทธทาส ภิกขุ

ศีลธรรมกับคน

ศีลธรรมเลว คนก็ได้ กลายเป็นผี
หาความดี ไม่ประจักษ์ สักเส้นขน
ศีลธรรมดี ผีก็ได้ กลายเป็นคน
ที่เลิศล้น ภูมิใจ ไหว้ตัวเอง
ศีลธรรมต่ำ เปลี่ยนคน จนคล้ายสัตว์
จะกินกัด โกงกัน ขมันเขม็ง
ศีลธรรมสูง คนสดใส ไม่อลเวง
ล้วนยำเกรง กันและกัน ฉันเพื่อนตาย
ศีลธรรมนี้ ทุกวัน มันตายซาก
คนมีปาก ก็ไม่พล่าม ศีลธรรมหาย
ศีลธรรมกลับ มาเมื่อไร ทั้งใจกาย
คนจะหาย จากทุกข์ เป็นสุขเอง ฯ

อ.พุทธทาส ภิกฺขุ